วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำใมต้องเล่านิทาน

ทำใมต้องเล่านิทาน
เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่แทบทุกคนในปัจุบัญต้องรู้จักนักวิทยาศาสตร์ ชื่อก้องโลกชื่อว่า ไอน์สไตน์ ไอน์สไตน์มีความฉลาดทางปัญญา (IQ) ประมาณ 180 ขณะที่คนทั่วไปมีไอคิวประมาณ 90-100 เท่านั้นเอง เข้าได้ให้ข้อคิดสำคัญไว้ว่า ถ้าอยากจะให้ลูกฉลาดคุณพ่อคุณแม่ควรจะเล่านิทานให้ลูกฟังเป็นประจำ และถ้าให้ลูกฉลาดมากยิ่งขึ้น ทำอย่างไรรู้ไหม ไอน์สไตน์บอกว่า ต้องเล่านิทานให้ลูกฟังหลายๆ เรื่อง คิดว่าคนฉลายเช่นนี้พูดใว้อย่างนี้ เราคงต้องเชื่อว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ จึงขอขยาย ความว่าจริงแล้วนิทานช่วยสร้างสรรค์ให้เด็กฉลาดแบบเบ็ดเสร็จได้อย่างไร
สิ่งแรกที่สุด นิทานเสริมปัญญาเด็ก
     เมื่อคุณพ่อคุณแม่เล่านิทานให้ฟัง ลูกต้องได้อยู่ไกล้ชิดคุณพ่อคุณแม่ซึ่งเป็นผู้เล่า ทำอย่างนี้ทุกๆความใกล้ชิดในครอบครัวย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เด็กจะรู้สึกอบอุ่น รู้สึกว่าตนเองเป็นที่รักของคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่จึงเล่านิทานให้ฟัง ขณะเล่านิทาน บรรยากาศที่เกิดขึ้นเป็นบรรยากาศแห่งความสุขของทุกคน คุณพ่อคุณแม่และลูกซึ่งนั่งหรือนอนฟังอยู่อย่างใกล้ชิดเป็นภาพแห่งความอบอุ่นตามธรรมชาติของครอบครัวที่มิรู้ลืม
สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว บางครั้งหรือบ่อยครั้งคุณพ่อคุณแม่อาจจะทำเสียงเลียนแบบตัวละครตามเนื้อเรื่อง ซึ่งจะสร้างความสุขให้กับเด็กอย่างยิ่ง เป็นความสนุกสนานที่ยากจะลืมเลือน     สรา้งความผูกพัน มั่นใจเชื่อมันใจตนเอง ซึ่งจะเริมปัญญาเด็กได้อย่างดียิ่ง
ประการที่ 2 ปลูกผังให้เป็นเด็กช่างคิดช่างถาม ช่างสักเกต
ขณะเล่านิทานให้ลูกฟังลูกอาจจะไม่เข้าใจข้อความบางตอน หรือศัพท์บางคำ ลูกก็อาจจะให้เล่าซ้ำๆ หรือถามคำถามว่าความหมายว่าอย่างไรตรงนี้แหละจะสร้างให้เด็กเป็นคนกล้าถาม คนกล้าถามแสดงว่ามีอะไรอยากรู้อยากเห็น และช่วงเวลาอย่างนี้คุณพ่อคุณแม่ก็มักจะมีอารมณ์ ในการตอบอย่างสนุกสนานด้วย หากถามมากแล้วรู้คำตอบทุกครั้งก็ยิ่งสร้าง ให้เด็กเข้าใจในสิ่งต่างๆ รอบตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเด็กที่ฉลาดมากขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น บางครั้งคุณพ่อคุณแม่เล่าเรื่องเดิมแต่คุณคุณพ่อคุณแม่เล่าผิดเพี้ยนไปจากเดิมบ้าง แต่ลูกจำได้ลูกก็จะแสกงความคิดเห็นออกมา ทำให้เด็กกล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น การแสดงความคิดเห็นถูกจังหวะอย่างเรียกว่า มีความฉลาดทั้งปัญญา และฉลาดทางอารมณ์ ด้วย
ประการที่ 3 เด็กเกิดการเรียนรู้ภาษาได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
นิทานเปรียบเทียบเหมือนเป็นการสอนภาษาไทยไปในตัว เด็กจะได้ยินได้ฟังประโยค การใช้ภาษาไปในตัวอย่าสนุกสนานโดยไม่รู้ตัว แบบการเรียนไวยากรณ์ไทยในสัยก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเบื่อยิ่งถ้านิทานบางเรื่องเป็นโคลง หรือ กลอน หรือฉันทลักษณ์อื่นๆ มีคำสัมผัสต่างๆ เด็กยิ่งจะชอบ ฟังบ่อยๆ พลอยจะเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนในอนาคตได้ดี เป็นการซึมซับแบบไม่รู้ตัว เด็กจะมีทัศนคติที่ดีในการเรียนรู้ภาษาไทยต่อไปอีกด้วย
ประการที่ 4 เด็กจับประเด็นเก่ง วิเคราะห์เก่ง
การเล่านิทานเรื่องซ้ำให้เด็กฟัง ความจริงไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อสำหรับเด็ก เด็กจำนวนมากที่อย่ากจะให้คุณพ่อคุณแม่เล่าเรื่องเกิมหลายๆ ครั้งโดยไม่รู้สึกเบื่อ ผลเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม รอบแรกๆ ลูกอาจจะเข้าใจในแต่ละช่วงๆ แต่ละตอน แต่อาจจะปะติดปะต่อไม่ได้ ฟังหลายๆรอบ ครั้งก็จะจำได้ทั้งเเรื่อง เด็กจะมองภาพรวมของเรื่องทั้งหมดออก ทไให้เด็กรู้จักจับประเด็น เป็นคนที่จับประเด็นเก่ง ย่อความเก่งต่อไป รู้จักมองสรรพลิ่งเป็นระบบ มีความคิดรวบยอกสูง คนเก่า ฉลาด ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่จับเรื่องจับประเด็นได้เร็ว มองอะไรทะลุปรุโปร่ง คิดอะไรมองอะไรเป็นระบบ ตีบทแตก ตีประเด็นแตก เข้าใจเรื่องเร็ว นี้คือความฉลาดประการที่ 4
ประเด็นที่ 5 สร้างสมาธิให้กับเด็ก
ช่วงของการเล่านิทานเด็กจะฟังอย่างใจจดใจจ่อ ตั้งอกตั้งใจยิ่งคุณพ่อคุณแม่เล่านิทานที่เหมะสมกับอายุเด็ก เด็กจะเข้าใจและอยากรู้ต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นช่วงนี้แหละเป็นการสร้างสมาธิให้กับเด็ก พบว่าเด็กฉลาดหรือเก่งมักจะเป็นคนที่มีสมาธิสูง สมาธิจึงเป็นองค์ประกอบของคนฉลาดทางปัญญา จากการเล่านิทาน
ประการที่ 6 สร้างให้เด็กมีจินตนาการ 
คุณพ่อคุณแม่อาจจะติดว่า สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่เล่าให้ลูกฟัง ลูกได้ยินเสียงอย่างเดียว ความจริงไม่ใช่ที่เสียงที่ได้ยินเท่านั้น เสียงที่เล่าออกมาจะไปกรัตุ่นให้ เด็กสร้างจินตนาการ เป็นภาพทุกขั้นตอนที่คุณพ่อคุณแม่เล่าเช่น คุณพ่อคุณแม่เล่าว่า ”หมาตัวหนึ่งคาบก้อนเนื้อกำลังเดินข้ามลำน้ำแห่งหนึ่งขณะที่มันกำลังเดินอยู่บนสพานนั้น มันได้ชำเลืองลงไปในน้ำเบื่องล่างอีกก้อนหนึ่ง มันเกิดความโลภจนทนไม่ใหม จึงได้กระโจนลงไปในน้ำเพื่อที่จะแย่งก้อนเนื้ออีกก้อนจากเงาของมันเอง…” ภาพที่เกิดขึ้นในสมองเกิดจากจินตนาการของเด็กโดยอิงกับประสบการณ์กับจิตนาการใหม่ เสริมเติมเป็นภาพที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามเนื่องที่คุณพ่อคุณแม่เล่า คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ว่าจิตนาการยิ่งใหญ่กว่าความรู้ จิตนาการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นในโลกของเรา เครื่องบิน ทีวี อีกมากมาย เกิดจากจินตนาการ ก่อนทั้งสิ้น ความรู้ทำให้คนฉลาดมากขึ้นระดับหนึ่ง คนที่มีจินตนาการเก่างๆ ทำความเจริญได้ไม่มีขีดจำกัด นวัตหรรมต่างๆ จำนวนมาก หรือความคิดสร้างสรรค์เกิดจากการจินตนาการต่างๆ โดยอาจะอิงฐานข้อมูลความรู้หรือไม่อิงก็ได้ การเล่านิทานบ่อยๆ มากๆ เรื่องเป็นการสร้างความรู้จิตนาการพร้อมๆ ไปกับรับรู้ถึงความรู้ใหม่ที่ลูกยังไม่เคยเข้าใจมาก่อนเพื่มเรื่อยๆ จินตนาหารจึงเป็นความฉลาดที่ยิ่งใหญ่ ถือเป็นความฉลาด ที่ คุณพ่อคุณแม่คงอยากจะให้เกิดกับลูกมาก

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประเภทของนิทาน



ประเภทของนิทาน


1. ประเภทเทพนิยายหรือปรัมปรา (Fairy tale) เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทวดา นางฟ้า เรื่องมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติ เป็นความฝันและจินตนาการของผู้แต่ง เรียกหลายอย่างเช่น นิทานมหัศจรรย์ นิทานบรรพบุรุษ เรื่องราวมักเกี่ยวข้องกับราชสำนัก เจ้าหญิง เจ้าชาย มีแม่มด มียักษ์ สัตว์ประหลาดตัวละครที่ดีจะเป็นฝ่ายชนะ

2. ประเภทชีวิตจริง (Novella) เป็นเรื่องที่ดำเนินอยู่ในโลกของความจริง มีการบ่งสถานที่และตัวละครชัดเจน อาจมีปาฏิหาริย์อิทธิฤทธิ์แต่เป็นไปในลักษณะที่เป็นไปได้ โดยใช้สถานที่ เวลา ตัวละครที่มาจากความจริง

3. ประเภทวีรบุรุษ (Hero tale) เป็นเรื่องที่มีหลายตอนขนาดยาว อาจคล้ายชีวิตจริงหรือจินตนาการ เป็นเรื่องเล่าที่กล่าวถึงวีรบุรุษที่ต้องผจญภัยที่มีลักษณะเหนือมนุษย์

จุดกำเนิดและวิวัฒนาการของนิทาน



จุดกำเนิดและวิวัฒนาการของนิทาน


จุดกำเนิดและวิวัฒนาการของนิทาน
การ ถ่ายทอดเรื่องราวให้แก่กันในหมู่มนุษย์นั้น อาจกล่าวได้ว่าเริ่มขึ้นพร้อมกับการกำเนิดภาษาพูด นับเป็นจิตวิทยาความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ที่ต้องการสื่อสารกับบุคคลรอบข้าง เล่าประสบการณ์ ความเชื่อ ความหวาดกลัว เพื่อแลกเปลี่ยนหรือสืบสานต่อรุ่นสู่รุ่นไปเรื่อยๆ แรกเริ่มทีเดียวนั้น มนุษย์เราเริ่มการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆผ่านการสวดมนต์ มนุษย์มักร้องเพลงหรือบทสวดมนต์ขณะกำลังทำงานไปด้วย เพื่อสร้างกำลังใจและความครื้นเครงในกลุ่ม และต่อมาก็พัฒนาขึ้นเป็นการเล่าเรื่องในเชิงสังคม เช่น เพื่อถ่ายทอดความเชื่อหรือศรัทธา การถ่ายทอดค่านิยมทางวัฒนธรรม ด้านการศึกษา การสืบทอดตำนาน เรื่องเล่าปรัมปราต่างๆ หรือด้านเพื่อความบันเทิงดังจะเห็นได้จากนิทาน เป็นต้น
ความทรงจำพื้น บ้าน (Folk memory) เป็นคำที่ใช้บรรยายเรื่องราว, ตำนานพื้นบ้าน หรือ ประมวลเรื่องปรัมปราเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เล่าขานกันต่อๆ มาจนชั่วลูกชั่วหลาน เหตุการณ์ที่บรรยายอาจจะเป็นความทรงจำของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นหลายสิบ, หลายร้อย หรือ หลายพันปีมาแล้ว ที่มักจะเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญต่อท้องถิ่น เรื่องราวที่เล่าอาจจะเป็นการอธิบายถึงรูปลักษณ์ของสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น, เป็นการให้เหตุผลเกี่ยวกับประเพณีนิยมทางวัฒนธรรม หรือ เป็นการอธิบายที่มาของที่มาของชื่อสถานที่ในท้องถิ่น เช่น ตำนาน น้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ ที่ทำให้เกิดโดยพระเจ้าหรือเทพเจ้า เพื่อทำลายอารยธรรม โดยเป็นการตอบสนองผลกรรม เป็นประเด็นที่แพร่หลายในตำนานกรีกและตำนานในวัฒนธรรมอื่น ๆ เรื่องราวของโนอาห์และเรือของโนอาห์ในเจเนซิส, มัสยาวตาร ในคัมภีร์ปุราณะ ของฮินดู, ดูเคเลียน ในตำนานเทพเจ้ากรีก และ อุตนาปิชติม ในมหากาพย์กิลกาเมช เป็นต้น

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

จุดประสงค์ในการเล่านิทาน

จุดประสงค์ในการเล่านิทาน

การเล่านิทานจุดมุ่งหมายส่วนใหญ่อยู่ที่ ความสนุกสนานบันเทิงเป็นหลัก ส่วนจุดมุ่งหมายอื่นๆนั้นมักจะขึ้นอยู่กับผู้เล่า นิทานเรื่องเดียวกันผู้เล่าอาจจะมีจุดประสงค์ในการเล่านิทานแตกต่างกันไปบ้าง ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
  1. เพื่อความสนุกสนาน เป็นเครื่องบันเทิงใจในยามว่าง
  2. เพื่อใช้สั่งสอน ได้แก่ นิทานคติต่างๆ
  3. เพื่อให้ความรู้ในด้านต่างๆ เช่น นิทานเกี่ยวกับสถานที่ ปรากฏการณ์ ธรรมชาติ
  4. เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเผยแผ่ศาสนา เช่น รามายณะ นิทานเกี่ยวกับเทพเจ้าต่างๆ เป็นต้น

การรวบรวมนิทานพื้นบ้านอย่างเป็นระบบ

การรวบรวมนิทานพื้นบ้านอย่างเป็นระบบ


เริ่มขึ้นเมื่อ ค.ศ.1822 คืองานของ "พี่น้องตระกูลกริมม์-Grimm" รวบรวมนิทานพื้นบ้านเยอรมัน ซึ่งการรวบรวมครั้งนี้แตกต่างจากการรวบรวมในยุคก่อนหน้า ในแง่ที่ว่าไม่ใช่เป็นการแสดงรายการของนิทานพื้นบ้าน แต่รวมถึงการวิเคราะห์เชิงวิชาการด้วยการเปรียบเทียบนิทานพื้นบ้านเยอรมันกับเทพนิยายของกรีกและโรมันโบราณ รวมทั้งจินตกวีนิพนธ์ของอินเดีย



กริมม์พบว่านิทานเหล่านี้มีเนื้อหาหลักหรือแก่นร่วมกัน นำไปสู่ทฤษฎีที่ว่า เมื่อชาวอินโดยูโรเปียนละเลยทอดทิ้งศาสนาของพวกเขาที่มีร่วมกัน เทพนิยายก็ได้เปลี่ยนแปรรูปแบบไปเป็นนิทานพื้นบ้าน ความเกี่ยวโยงระหว่างศาสนาและนิทานพื้นบ้านเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้านิทานพื้นบ้านไม่มีความเกี่ยวโยงกับศาสนา การศึกษานิทานพื้นบ้าน (ความเชื่อในเรื่องที่นอกเหนือจากธรรมชาติ) ก็จะดูเหมือนว่าเป็นศาสตร์ที่ไม่เหมาะสมที่จะศึกษาเชิงวิชาการ

คุณค่านิทานพื้นบ้าน



คุณค่านิทานพื้นบ้าน


นิทานพื้นบ้าน หมายถึงเรื่องที่เล่าสืบกันเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ส่วนใหญ่ถ่ายทอดด้วยวาจา แต่ก็มีจำนวนมากที่ได้รับการบันทึกไว้ นิทานพื้นบ้านปรากฏอยู่ในทุกๆ วัฒนธรรม มีทั้งความแตกต่าง หลากหลาย และความเหมือน มีความสำคัญในการเข้าถึงวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชน ทั้งนี้ จำแนกความสำคัญของนิทานพื้นบ้านได้เป็น 3 ประการ

1.ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของเจ้าของนิทาน เช่น ความรู้เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ จารีตประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม สภาพเศรษฐกิจ ภูมิประเทศ และถิ่นฐานบ้านเรือน ทั้งรูปแบบการเล่านิทานที่ใช้คำประพันธ์เข้ามาช่วย เช่น แหล่ เทศน์ เสภา ยังสร้างความงามด้านรูปแบบอีกโสดหนึ่ง ดังนั้นหากเยาวชนได้เรียนรู้นิทานพื้นบ้านของตนจึงเป็นช่องทางในการรู้ตนเอง สามารถอธิบายตนเองได้ รวมทั้งอาจจะบอกได้ถึงข้อดีและข้อจำกัดในวัฒนธรรมนั้นๆ ของตนได้

ประเภทของนิทานพื้นบ้านแบ่งออกเป็น 14 ประเภท



ประเภทของนิทานพื้นบ้านแบ่งออกเป็น 14 ประเภท

ประเภทแรก คือ นิทานปรัมปราหรือนิทานทรงเครื่องเป็นเรื่องเล่าที่ค่อนข้างยาว เนื้อเรื่องประกอบไปด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ที่เกินกว่า
มนุษย์สามารถจะทำได้ เช่น เรื่องโสนน้อยเรือนงาม ปลาบู่ทอง เป็นต้น
ประเภทที่สอง คือ นิทานท้องถิ่นหรือนิทานประจำท้องถิ่น นิทานประเภทนี้ผู้เล่าเล่าด้วยความเชื่อว่าเหตุการณ์หรือปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น
เป็นเรื่องจริงและมักจะมีหลักฐานอ้างอิงประกอบเรื่อง มีตัวบุคคลจริง มีสถานที่จริง ๆ กำหนดไว้แน่นอน เช่น พระร่วง เรื่องเจ้าแม่สร้อยดอก
หมากเรื่องเมืองลับแล เช่นถ้าเรื่องเจ้าแม่สร้อยดอกหมากก็ที่วัดพนัญเชิงจะมีศาลที่มีประวัติของท่าน แล้วก็มีบรรยากาศจากท่าเรือ เห็นแล้วจะ
นึกถึงภาพถ้าเราไปสักการะก็จะเห็นภาพตรงนั้น
ประเภทที่สาม คือ นิทานประเภทอธิบายเหตุ เป็นเรื่องที่ตอบคำถามว่าทำไม เพื่ออธิบายความเป็นมาของบุคคลหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ
ของธรรมชาติ รวมถึงสมบัติที่ฝังไว้ เช่น เหตุใดกาจึงมีสีดำ เรื่องปู่โสมเฝ้าทรัพย์ หรือเกาะหนู เกาะแมว ในจังหวัดสงขลาอันนี้เป็นเรื่องของ
สถานที่ว่าลักษณะเหมือนหนูก็เรียกว่าเกาะหนู แบบนี้จะมีทั่วประเทศ

ลักษณะของนิทานพื้นบ้าน


ลักษณะของนิทานพื้นบ้าน


        

          นิทานพื้นบ้านมีลักษณะเฉพาะที่เห็นเด่นชัด คือ เป็นเรื่องเล่าที่มีการดำเนินเรื่องอย่างง่ายๆโครงเรื่องไม่ซับซ้อน วิธีการที่เล่าก็เป็นไปอย่างง่ายๆตรงไปตรงมา มักจะเริ่มเรื่องโดยการกล่าวถึงตัวละครสำคัญของเรื่อง ซึ่งอาจจะเป็นรุ่นพ่อ-แม่ของพระเอกหรือนางเอก แล้วดำเนินเรื่องไปตามเวลาปฏิทิน ตัวละครเอกพบอุปสรรคปัญหา แล้วก็ฟันฝ่าอุปสรรคหรือแก้ปัญหาลุล่วงไปจนจบเรื่อง ซึ่งมักจะจบแบบมีความสุข หรือสุขนาฏกรรม ถ้าเป็นนิทานคติ ก็มักจะจบลงว่า “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…..” ถ้าเป็นนิทานชาดกก็จะบอกว่าตัวละครสำคัญของเรื่องในชาติต่อไป ไปเกิดเป็นใครบ้าง ถ้าเป็นนิทานปริศนาก็จะจบลงด้วยประโยค คำถาม ลักษณะของนิทานพื้นบ้าน กุหลาบ มัลลิกะมาส (2518, หน้า 99-100) ได้สรุปไว้ดังนี้

ความหมายของนิทานพื้นบ้าน

ความหมายของนิทานพื้นบ้าน

“นิทาน” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 (2546, หน้า 588) อธิบายความหมายไว้ว่า “นิทาน คือ เรื่องที่เล่ากันมา เช่น นิทานชาดก และนิทานอีสป เป็นต้น”

นิทานพื้นบ้าน
ภาพประนิทานพื้นบ้านเรื่อง โสนน้อยเรือนงาม
นอกจากนี้ยังมีท่านผู้รู้อธิบายความหมายไว้คล้ายๆกัน เช่น
กิ่งแก้ว อัตถากร (2519, หน้า 12) อธิบายว่า นิทาน หมายถึง เรื่องเล่าสืบต่อกันมาเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ส่วนใหญ่ถ่ายทอดด้วยวิธีมุขปาฐะ แต่ก็มีอยู่ส่วนมากที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ และนอกจากนี้ยังอธิบายว่านิทานเป็นเรื่องเล่าทั่วไป มิได้จงใจแสดงประวัติความเป็นมา จุดใหญ่เล่าเพื่อความสนุกสนาน บางครั้งก็จะแทรกคติเพื่อสอนใจไปด้วย นิทานมิใช่เรื่องเฉพาะเด็ก นิทานสำหรับผู้ใหญ่ก็มีจำนวนมาก และเหมาะสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น
กุหลาบ มัลลิกะมาส (2518, หน้า 99-100) กล่าวถึง “นิทาน” ไว้ในหนังสือคติชาวบ้านว่า นิทานเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะที่เล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน เพื่อความสนุกสนานเบิกบานใจ ผ่อนคลายความตึงเครียด เพื่อเสริมศรัทธาในศาสนา เทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นคติเตือนใจ ช่วยอบรมบ่มนิสัย ช่วยให้เข้าใจสิ่งแวดล้อมและปรากฏการณ์ธรรมชาติ เนื้อเรื่องของนิทานเป็นเรื่องนานาชนิด อาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัย ความรัก ความโกรธ เกลียด ริษยา อาฆาต ตลกขบขัน หรือเรื่องแปลกประหลาดผิดปกติธรรมดา ตัวละครในเรื่องก็มีลักษณะต่างๆกัน อาจเป็นคน สัตว์ เจ้าหญิง เจ้าชาย อมนุษย์ แม่มด นางฟ้า แต่ให้มีความรู้สึกนึกคิด พฤติกรรมต่างๆเหมือนคนทั่วไปหรืออาจจะเหมือนที่เราอยากจะเป็น เมื่อนิทานตกไปอยู่ในท้องถิ่นใดก็มักมีการปรับเนื้อเรื่องให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมของถิ่นนั้น นิทานในแต่ละท้องถิ่นจึงมีเนื้อเรื่องส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน คือ สภาพความเป็นมนุษย์ อารมณ์ ความรู้สึกรัก เกลียด ความโง่ ฉลาด ขบขัน อาฆาตแค้น หรือทุกข์ สุข ส่วนรายละเอียดจะแตกต่างไปบ้างตามสภาพแวดล้อมและอิทธิพลของวัฒนธรรมความเชื่อของ แต่ละท้องถิ่น
สุมามาลย์ พงษ์ไพบูลย์ (2542, หน้า 7) กล่าวว่า นิทานเป็นคำศัพท์ภาษาบาลี หมายถึง คำเล่าเรื่อง ไม่ว่าเป็นเรื่องประเภทใด แต่อยู่ที่ลักษณะการเล่าที่เป็นกันเอง แม้จะเป็นข้อเขียนก็มีลักษณะคล้ายกับการเล่าที่เป็นวาจา โดยใช้ภาษาพูดหรือภาษาปากในการเล่า

นิทานพื้นบ้าน


นิทานพื้นบ้าน